ทำไมธุรกิจ SMEs ถึงเหมาะกับการทำธุรกิจส่งออก

เมื่อเราพูดถึงคำว่าธุรกิจส่งออก หลายๆ คนคงนึกถึงบริษัทใหญ่ๆ ที่มีแผนกส่งออกเป็นของตัวเอง และมีพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาด ขนส่ง มีแผนกที่ต้องไปออกงานแสดงสินค้าเป็นประจำ เป็นมืออาชีพ คุณก็นึกภาพไม่ผิดหรอกครับ ถ้านั่นเป็นบริษัทใหญ่

ในขณะเดียวกัน คุณอาจจะไม่เชื่อว่าบริษัทเล็กๆ หลายบริษัทก็ทำธุรกิจส่งออกเหมือนกัน และรายได้ดีไม่แพ้บริษัทใหญ่ๆ เลยก็มี บางคนทำโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูป เริ่มจากขายปลีก ต่อมาขายส่ง ถัดมาก็ทำโรงงานผลิตเอง พวกธุรกิจแถวประตูน้ำ โบ๊เบ๊ หรือที่อยู่แถวบางบอนมีแบบนี้เยอะแยะครับ

หรือบางคนก็ทำโรงงานกระเป๋าแฟชั่น ซื้อวัตถุดิบจากจีน มาผลิตในไทย แล้วขายส่งออกไปทั่วโลก ทั้งเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ก็ทำมาแล้ว คนที่ทำอาหารรายย่อยๆ เช่น ผลิตเส้นหมี่ ก็ส่งขายไปทั่วโลกเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีพวกโรงงานจิวเวลรี่รายเล็กๆ ที่รวยเงียบๆ อีกมากมาย

พอเห็นอะไรบ้างมั้ยครับ ธุรกิจเล็กๆ ก็ทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย

ต่อมาสิ่งที่สงสัยกันก็คือ ทำไมธุรกิจเล็กๆ ถึงส่งออกไปได้ไกล ไม่แพ้ธุรกิจใหญ่เลย มันที่เหตุผลของมันครับ

ลูกค้าต่างประเทศ ไม่ได้มีแต่รายใหญ่

สำหรับคนที่เคยทำงานบริษัทใหญ่ก็จะพบว่า ลูกค้านั้นมีแต่ระดับใหญ่ๆ ระดับเล็กๆ เค้าก็จะไม่ค่อยอยากคุย เพราะยอดน้อย ออเดอร์ไม่สม่ำเสมอ ไม่คุ้มค่าเหนื่อย จะคุยแต่ระดับใหญ่ๆ เท่านั้น

แต่ในทางกลับกัน ทุกประเทศก็มีธุรกิจคล้ายๆ กัน คือมีทั้งเล็กกลางใหญ่ แต่ละไซส์ ก็ยินดีที่จะทำธุรกิจร่วมกับไซส์ที่เหมาะสมกับตนนั่นเอง ซึ่งแปลว่าในขณะที่เราเป็นรายเล็ก ก็จะมีลูกค้ารายเล็กๆ เช่นเดียวกับเรามาหาของ และยินดีที่จะทำธุรกิจกับรายเล็กๆ เช่นเรานั่นเอง

ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ให้คุณลองเดินไปที่เชลฟ์อาหารต่างประเทศในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วหันฉลากสินค้าดูว่าแต่ละอย่างผลิตที่ไหน เราจะพบว่าหลายๆ แบรนด์ เป็นแค่โรงงานเล็กๆ ในประเทศนั้นๆ เช่น เส้นสปาเก็ตตี้ หรือ แยมผลไม้ ก็เป็นโรงงานเล็กๆ ในอิตาลี แต่สินค้าเค้าก็ดูดี จนเราไม่คิดว่าผลิตโดยโรงงานเล็กๆ

การขายออนไลน์แบบ B2C เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น

เราคงเคยได้ยินการขายของผ่านทาง ebay หรือ amazon กันแล้วนะครับ นี่คือการขายสินค้าที่ผู้ซื้อเป็นรายย่อยจริงๆ แล้วใครละครับที่เหมาะกับการขายรายย่อย ถ้าไม่ใช่ธุรกิจขนาดเล็ก SMEs อย่างพวกเรา

ผมเคยเจอคนทำอเมซอน ร้อยละ 99 เป็นธุรกิจรายเล็กครับ รายใหญ่จริงๆ เค้าจะไม่ค่อยถนัดขายของทางนี้ จะทำอะไรเชื่องช้า อุ้ยอ้าย และที่สำคัญ ยอดมันน้อยกว่าขายปกติ นี่เป็นช่องทางสำคัญในการส่งออกของเราที่รายใหญ่เข้าถึงได้ยากมากครับ

สินค้าไทยส่วนใหญ่เป็นตลาดเฉพาะทาง (Niche Market)

มีคำกล่าวว่าถ้าอยากได้ของถูกให้ไปที่จีน แต่ถ้าอยากได้ของดีราคาไม่แพง ให้บินมาไทย คำกล่าวนี้เป็นที่นิยมกันในสมัยนี้เลย เพราะใครๆ ก็รู้กันว่าพี่จีนมีแต่ของถูก ของคุณภาพดีระดับนึง แต่ของไทยนั้น แม้ราคาโดยทั่วไปจะสูงกว่าจีน แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพแล้ว ถือว่าสินค้าไทยคุ้มค่ามากๆ

แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือปัจจุบันนี้ คนไทยเราหนีการแข่งขันทางราคากับจีนมาได้สักพักแล้วครับ สิ่งที่เราจะขายไม่ใช่ค่าแรงถูกๆ แต่เป็นคุณภาพสินค้าและดีไซน์ที่น่าซื้อมากกว่า เราเลิกผลิตเสื้อผ้าราคาถูก แต่เริ่มเน้นดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์มากขึ้น เราเริ่มมีข้าวหอมมะลิแบบต่างๆ ข้าวสังข์หยด ข้าวไรซ์เบอร์รี่ มากขึ้นเรื่อย

ยังไม่นับงานดีไซน์ ที่มีความหรูหรา ปราณีต และเฉพาะทางมากขึ้น

ประกอบกับเทรนด์ของโลกยุคใหม่ กลับเข้าหาความเป็นธรรมชาติ อะไรที่ทำจากธรรมชาติ ทำจากมือมนุษย์ (Hand made) ยิ่งกลับได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าเดิมอีก ซึ่งของแบบนี้คนจีนทำไม่ได้นะครับ มือร้อนกว่าคนไทยเยอะ

เหตุผล 3 ข้อนี้ คิดว่า นักธุรกิจ SMEs ไทยทั้งหลายน่าจะพอเห็นช่องทาง แสงสว่างในการทำธุรกิจส่งออกกันมากขึ้นนะครับ ผมเองในฐานะผู้ทำธุรกิจส่งออกก็เชิญชวนคนไทยมาทำธุรกิจประเภทนี้กันเยอะๆ ครับ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะมาแข่งกัน ประเทศในโลกนี้มีเกือบ 200 ประเทศ เรายังส่งของไปไม่ครบเลยครับ

สนใจคอร์สส่งออกนำเข้า คลิกที่นี่ 

บทความเกี่ยวข้อง

Leave a Comment